ตํานานจระเข้กินคนแห่งประเทศไทยที่แท้จริง

จระเข้เป็นสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำที่น่าหวาดกลัวสำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ริมฝั่งน้ำ และในขณะเดียวกันก็เป็นสัตว์ยักษ์ที่น่าชื่นชมอันเนื่องมาจากพวกมันถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ธรรมชาติไม่กี่ชนิดที่มีการคาดการณ์กันว่ามันน่าจะพัฒนาการรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษของมันเมื่อหลายล้านปีก่อนเอาไว้มากที่สุด โดยปกติแล้วจระเข้จะไม่โจมตีเรือที่มีเครื่องกำเนิดเสียงดัง และในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้ดุร้ายถึงขนาดสามารถคลานมาบนบกถล่มเมืองมนุษย์ได้เหมือนกับในหนังภาพยนตร์ จะอย่างไรก็ตาม มันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวอยู่ โดยในอดีตในประเทศไ ทยนั้นก็มีตำนานจระเข้กินคนให้เราได้ยินอยู่หลายตำนานโดยมีตำนานหลักคือเรื่องเล่า 3 เรื่องดังต่อไปนี้
1.ตำนานจระเข้ชาละวัน
หากจะพูดถึงตํานานจระเข้กินคนของเมืองไทยแล้วล่ะก็สิ่งแรกที่ชาวไทยจะคิดนั่นก็คือตำนานของจระเข้ชาละวัน ซึ่งมีการเล่าสืบต่อมาจะเป็นนิทานพื้นบ้าน โดยกล่าวว่ามันเป็นจระเข้ตัวใหญ่อาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกิดมาแต่สมัยที่จังหวัดพิจิตรนั้นยังมีเจ้าเมืองปกครองอยู่ ซึ่งก็น่าจะย้อนกลับไปเป็นระยะเวลาโบราณนานมาก มีสองตายายใจดีออกไปหาปลาแล้วบังเอิญพบไข่จระเข้ด้วยความใจบุญพวกเขาจึงเก็บเอามันมาฟักเป็นตัวเลี้ยงเอาไว้ในอ่างน้ำในบ้านเรียกหามันเป็นลูกหลานเหมือนกับที่คนสมัยนี้ชอบเลี้ยงสุนัขและแมวเรียกหามันเป็นลูกนั้นเอง หากแต่ที่ต่างจากสุนัขและแมวนั่นก็คือจระเข้มันไม่มีความสำนึกบุญคุณและไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่เลี้ยงมันเมื่อมันเริ่มโตขึ้นตากับยายได้เอาไปเลี้ยงไว้ในสระน้ำใกล้บ้านต่อมาเมื่อตัวมันใหญ่ขึ้นและก็หิวกินอาหารเป็นปลาที่ตายายหามาให้ไม่อิ่มมันก็ได้ทำการกินตากับยายเป็นอาหารใช้อย่างนั้น แล้วเมื่อคนเลี้ยงตายลงมันก็หลุดออกจากสถานที่เลี้ยงลงไปยังแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับสระน้ำตากับยาย โดยแม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นถือเป็นแม่น้ำสายหลักและหัวใจสำคัญของย่านแม่น้ำน่านสามารถลงไปหาหมู่บ้านต่างๆในเมืองพิจิตรได้มากมายอย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีปลาให้มันได้กินอย่างอิ่มหนำแต่ด้วยความที่ได้ลิ้มรสมนุษย์ไปแล้วและมันก็คงจะติดใจจึงทำให้มันอาละวาดไล่จับคนกินเป็นอาหารจนมีคนตั้งฉายามันว่า “ไอ้ตาละวัน” อารมณ์ประมาณว่าพอตามองเห็นมันโผล่มาทีนึงมันก็จับคนไปกินได้ทุกวัน และในเวลาต่อมาชื่อดังกล่าวก็เพี้ยนการเป็นชาละวัน ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้
เมื่อเจ้าจระเข้ชาละวันเริ่มอาละวาดหนักข้อขึ้นทุกที หากแต่มันก็ดวงซวยเพราะไปพลาดจับลูกสาวคนสวยของเศรษฐีเมืองพิจิตรตอนกำลังจะลงมาอาบน้ำ ทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความโกรธแค้นเป็นอย่างมากและด้วยความมีเงินมากมายจึงได้ประกาศตั้งค่าหัวเป็นจำนวนมากอักโขพร้อมกับ Option เสริมยกลูกสาวอีกคนหนึ่งให้เลย หากใครก็ตามสามารถฆ่าเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้ เขาเพิ่งรู้ถึงหูของพระเอกหนุ่มในนิทานของเรานั่นก็คือ ไกรทอง ซึ่งตอนนั้นเป็นพ่อค้าได้เดินทางมาจากเมืองแถวนนทบุรี ซึ่งเขาได้ออกหน้ารับปากจะจัดการจระเข้ตัวนี้ให้ โดยมีอาวุธสำคัญเป็นหอกลงมนตราซึ่งสร้างมาเพื่อจัดการจระเข้โดยเฉพาะ จากนั้นก็ได้ตามล่ามันไปจนถึงถ่ำที่มันพักอาศัยซึ่งคนเรียกว่าถ้ำชาละวัน โดยมีความเชื่อกันว่าน่าจะอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่านั่นแหละ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันปรากฏหลักฐานเป็นที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดพิจิตรนี่เอง จนกระทั่งไกรทองสามารถปราบจระเข้ชาละวันลงได้สำเร็จ เรื่องราวของจระเข้ชาละวันนี้จึงถูกแดดกลายมาเป็นนิทานพื้นบ้านและเล่าสู่กันฟังสืบมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
จระเข้ยักษ์ไอ้ด่างเกยชัย
จระเข้ยักษ์ตัวนี้เป็นจระเข้ยักษ์อีกตัวหนึ่งซึ่งเราคนไทยเคยได้ยินชื่อและคู่กันมาก ในฐานะจระเข้ยักษ์กินคนซึ่งมีหลักฐานว่ามันมีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม แท้ที่จริงแล้วเจ้าจระเข้ที่ถูกเรียกว่าไอ้ด่างเกยชัยนี้ กลับมีบันทึกเป็นหลักฐานชัดแจ้งทางประวัติศาสตร์เอาไว้เพียงแค่ 2 บรรทัดเท่านั้น โดยปรากฏในบันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพเมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จไปราชการทางภาคเหนือ ตัว ไอ้ด่างเกยชัย จระเข้ซึ่งออกไล่กินคนที่แม่น้ำน่าน บ้านเกยชัย จังหวัดนครสวรรค์ ปรากฏตัวออกมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเด่นคือมีรอยด่างสีขาวที่ปลายจมูกของวัน ตัวใหญ่ขนาดว่ากันว่าสามารถนอนขวางลำน้ำได้ ก่อนจะถูกหมอผี 2 คนรุมใช้หอกอาคมค่าจนตายและได้ทำการตัดหัวของมันเกี่ยวกับไว้ โดยในประเทศของพระยาดำรงราชานุภาพยังบอกอีกว่าสถานที่นั้นมีศีรษะหรือส่วนหัวของจระเข้แดกเคยใช้ถูกจัดเอาไว้ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีชาวฝรั่งมาขอซื้อไปทำให้ไม่มีหลักฐานที่เป็นวัตถุสิ่งของลงเรือมาจนถึงปัจจุบัน
ไอ้ด่างคลองบางมุด
ถือเป็นจระเข้ยักษ์กินคนที่มีหลักฐานที่เด่นชัดว่ามีตัวตนจริงเนื่องมาจากมันปรากฏตัวออกมาในเครื่องปี พ.ศ. 2507 นี้เอง โดยออกอาละวาดไล่กินคนที่อำเภอหลังสวนจังหวัดชุมพร เมื่อมันปรากฏตัวออกมาทำให้มีข่าวหนังสือพิมพ์ลงตีพิมพ์โด่งดังไปทั่วประเทศจนกระทั่งทหารตำรวจและฝ่ายปกครองรวมทั้งชาวบ้านในชุมชนบริเวณดังกล่าวต้องประกาศรับอาสาจะไปจัดการมัน โดยมันก็เหมือนจะรู้ตัวเพราะหายจากบริเวณหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งบ่อยๆ กว่าจะได้ตามตัวทันมันก็กัดกินคนไปแล้วหลายคน จนกระทั่งได้ค้นพบเจอถ้ำที่นอนของมัน สิบเอกจำนง พิมาน พร้อมเพื่อนทหารทีมไล่ล่า จึงใช้อาวุธระเบิด หย่อนลงที่พักอาศัยของมัน จากนั้นซ้ำระเบิดเข้าไปจนมันตาย
ในเวลาต่อมาได้มีการเอาเรื่องราวของไอ้ด่างคลองบางมุดมาทำการสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้น หากแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรหรืออาจจะเป็นเพราะชื่อของไอ้ด่างเกยชัยดูจะขลังมากกว่า ทำให้ได้มีบริษัทภาพยนตร์นำเอาตำนานเรื่องราวของไอ้ด่างคลองบางมุดมาสร้างตามประวัติของมันแต่ใช้ชื่อหนังเป็นไอ้ด่างเกยชัยซะอย่างนั้น ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก